หน้าแรก

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เที่ยวฮาลองเบย์ เวียดนาม มหัศจรรย์อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง(มรดกโลกทางธรรมชาติ)

อ่าวฮาลอง  (อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีนมีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร หรือ 937,500 ไร่ และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร

ในอ่าวฮาลอง มีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ (Hang Đầu Gỗ, ฮางเดิ่วโก๋) หรือชื่อเดิมว่า "กร็อตเดแมร์แวย์" (Grotte des Merveilles) ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกั๊ตบ่า และ เกาะต่วนเจิว ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ บางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง(Hòn Voi,ห่อนวอย)เกาะไก่ชน (Hòn Gà Chọi, ห่อนก่าจ่อย) เกาะหลังคา (Hòn Mái Nhà, ห่อนม้ายหญ่า) เป็นต้น

เที่ยวฮานอย 10 ที่เที่ยวในเมืองหลวงเวียดนาม

1. เจดีย์เตริ่นกว็อก 


 เจดีย์เตริ่นกว็อก ตั้งอยู่ริมทะเลสาบโฮไตซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฮานอย เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม เป็นเจดีย์สีชมพู ไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายกับเจดีย์ของญี่ปุ่น แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์ และเป็นที่บรรจุอัฐิของพระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้

2. เที่ยวฮานอย ชมอ่าวฮาลอง


อ่าวฮาลองหรือฮาลองเบย์ เป็นสถานที่เที่ยวทางธรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก อ่าวนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม มีพื้นที่ถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากเมืองหลวงกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร ที่อ่าวมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรมชาติที่มีทั้งพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ที่หลากหลาย บริเวณอ่าวมีเกาะหินปูนกว่า 1,969 เกาะที่โผล่ขึ้นบนผิวน้ำมากมาย แต่ละเกาะก็จะมีถ้ำอยู่ข้างในและจะมีถ้ำที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า ถ้ำเสาไม้หรือถ้ำเดิ่วโก๋ ในภาษาเวียดนาม มีชื่อเดิมว่า กร็อตเดแมร์แวย์ โดยมีนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเที่ยวชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19

นอกจากมีถ้ำที่ใหญ่ที่สุดแล้วยังมีเกาะที่ใหญ่ที่สุดด้วยเช่นกันที่ อ่าวฮาลอง มีเกาะที่ใหญ่ที่สุดถึง 2 เกาะ เลย คือ  
เกาะกั๊ตบ่าและเกาะต่วนเจิวทั้งสองเกาะจะมีคนอาศัยอยู่มีโรงแรมที่พักรองรับนักท่องเที่ยวส่วนเกาะอื่นๆก็เป็นเกาะ
เล็กที่สวยงาม มีหมู่บ้านชาวประมงและมีสัตว์อื่นๆ อาศัยอยู่ด้วย เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง
 
เกาะต่างๆภายในอ่าวนี้จะมีความแปลกตรงการตั้งชื่อเกาะที่ตั้งชื่อตามรูปร่างของเกาะ ซึ่งมีหลายแบบหลายชื่อไม่วาจะเป็น เกาะเต่า เกาะตะเกียบ เกาะหลังคา เกาะช้าง เกาะไก่ชน เกาะหงส์ และอื่น ๆ อีกหลายชื่อแล้วแต่ลักษณะของเกาะ ด้วยความที่เป็นอ่าวที่สวยงาม ชายหาดสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีครามที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวกันมากมายแล้ว ความเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบทำให้ที่นี่ถูกคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2537
 
อ่าวฮาลองยังมีตำนานที่เล่าขานกันด้วย ชื่อเกาะในภาษาเวียดนามนั้นอ่านออกเสียงว่า Vinh Ha Long มีความหมายว่า อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง ในตำนานเลาว่า ในอดีตสมัยที่เวียดนามมีการสู้รบกับกองทัพจีนที่มารุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม เหล่ามังกรได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลซึ่งในปัจจุบันเป็นอ่าวฮาลองนั้นเอง และมีอัญมณีต่างๆรวมถึงหยกตกลงสู่อ่าวด้วยกลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่ทั่วอ่าว ซึ่งได้เป็นปราการช่วยป้องกันเหล่าศัตรูผู้รุกรานได้ ทำให้ชาวเวียดนามสามารถปกป้องแผ่นดินได้สำเร็จ และก่อตั้งประเทศ ซึ่งต่อมาคือเวียดนามในปัจจุบัน บางตำนานก็กล่าวไว้ว่ามีสัตว์ในตำนานที่ชื่อว่า ตาราสก์ (Tarasque) อาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว

3. ถ้ำเทียนกุง หรือ ถ้ำสวรรค์


ถ้ำเทียนกุง หรือ ถ้ำสวรรค์ ที่อ่าวฮาลองนักท่องเที่ยวฮานอยสามารถล่องเรือชมถ้ำนางฟ้าหรือถ้ำสวรรค์ เป็นถ้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ด้านในมีการจัดแสงสี เพิ่มความน่าสนใจให้กับหินงอกหินย้อยต่างๆ พร้อมทั้งมีทางสำหรับการเดินชมไว้ให้ด้วยมีเสาค้ำฟ้าซึ่งเกิดจากหินงอกและหินย้อยมาบรรจบติดกันจนกลายเป็นเสาซึ่งหินงอกหินย้อยแต่ละก้อนก็จะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันออกไป ตามแต่จะจินตนาการ มีความงดงามอย่างมาก

4. ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม หรือ ทะเลสาบคืนดาบ


ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม หรือที่เรียกกันว่า ทะเลสาบคืนดาบ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันมาว่า ในสมัยครั้งที่กษัตริย์เวียดนามทำสงครามสู้รบกับจีนนั้น เป็นการสู้รบที่ใช้เวลายาวนานมาก และไม่สามารถเอาชนะทหารจากจีนได้สักที ทำให้เกิดความท้อแท้พระทัย เมื่อได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ ได้มีเต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งคาบดาบวิเศษมาให้พระองค์ และนำไปสู้รบจนได้รับชัยชนะกลับมา เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้ว พระองค์จึงได้นำดาบมาคืน และหากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ เรียกว่า ทาพรัว หมายถึง หอคอยเต่า และยังเป็นที่กล่าวขานกันว่ายังเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล

5. วัดหง็อกเซิน หรือ วัดเนินหยก


      วัดหง็อกเซินหรือวัดเนินหยก (Ngoc-Son)  เป็นวัดบนเกาะเล็กๆกลาง ทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องข้ามสะพานเทฮุก(The-Huc)หรือสะพานแสงอาทิตย์เป็นสะพานโค้งสีแดงไปยังวัดนี้นับเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองฮานอยเลยก็ได้ใครไม่ไปก็อาจจะเรียกได้ว่าไปไม่ถึงฮานอยกันเลยทีเดียวครับก่อนอื่นต้องข้ามสะพานไปก่อนซึ่งตรงสะพานนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมากด้านในวัดจะมี ตะพาบ ที่ถูกสต๊าฟอยู่ 1 ตัว โดยประวัติเล่าว่าทะเลสาบแห่งนี้มีตะพาบทั้งหมด2ตัวแต่อีกตัวนึงยังมีชีวิตและอาศัยอยุ่ในทะเลสาบซึ่งเป็นตำนานการสร้างชาติเวียดนามว่าในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเลเลย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกรานให้ออกไปจากเวียดนามในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกรดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบนั่นเอง    

6. สุสานโฮจิมินห์


สุสานโฮจิมินห์  ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1973 ด้วยความสูง 22 เมตร กว้าง 41.2 เมตร ทำจากหินอ่อน หินแกรนิต และไม้เนื้อดีที่คัดสรรกันมาจากทั่วประเทศ ซึ่งวันและเดือนดังกล่าวนั้น รัฐบาลเวียดนามตั้งใจสร้างให้ ตรงกับวันที่ลุงโฮ จิ มินห์เสียชีวิตลง  (2 กันยายน ค.ศ. 1969   ที่บ้านพักในกรุงฮานอย ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ขณะอายุ 79 ปี) ขณะที่ตัวสุสานนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากสุสานของ เวลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) นักปฏิวัติคนสำคัญของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Soviet Union)  

ที่สำคัญสุสานแห่งนี้ยังตั้งอยู่บน จัตุรัสบาดิญ (Ba Dinh Square) พื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญของชาวเวียดนาม เพราะเป็นสถานที่ที่ลุงโฮจิมินห์ เคยอ่านคำประกาศอิสรภาพเวียดนามให้เป็นอิสระจากฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 (ถึงอย่างนั้นสุสานลุงโอก็ไม่วายโดนสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) จัดอันดับให้เป็น 1 ใน 6 อาคารที่น่าเกลียดที่สุดของโลก “Sixth Most Ugly”) 

ทั้งนี้แม้ ลุงโฮ จิ มินห์ จะล่วงลับไปแล้วกว่า 50 ปี แต่ทางรัฐบาลเวียดนามยังคงเก็บรักษาร่างของท่านเอาไว้เป็นอย่างดีในโลงแก้ว จะว่าไปการกระทำดังกล่าวถือว่าขัดต่อความประสงค์ของลุงโฮ เพราะท่านต้องการให้เผาร่างของตนทันที แล้วนำเถ้ากระดูกกระจายเก็บไว้ทางภาคกลางใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศ ทว่ารัฐบาลกลับรักษาร่างของท่านเอาไว้ให้ผู้คนแสดงความเคารพ 

   7. เจดีย์เสาเดียว


มาเที่ยวฮานอยที่เดียวสามารถชมสถานที่สำคัญๆหลายที่ใกล้ๆ กันกับสุสานโฮจิมินห์ จะเจอกับ วัดเจดีย์เสาเดียว 
(One Pillar Pagoda) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 400 ปี เป็นศาลาขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่ เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งตั้งอยู่กลางสระบัว โดยมีตำนานไว้ว่า พระเจ้าหลีไทโต อยากได้โอรสมาก และรอคอยมาเป็นเวลานาน จนมาคืนวันหนึ่ง ทรงสุบิน(ฝัน)ไปว่าเห็นเจ้าแม่กวนอิมพระแม่โพธิสัตว์ ได้มาปรากฎที่สระบัวและได้ประธานโอรสให้กับพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้มีพระโอรส จึงได้สร้างเจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัวเพื่อเป็นการถวายสักการะแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี คศ. 1049 ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะมาขอพรให้ได้บุตรกับเจ้าแม่กวนอิมที่เจดีย์เสาเดียวแห่งนี้อยู่เสมอ

8. พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์


 พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์  สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ชีวิตและมรดกที่สืบทอดมาจากอดีตประธานาธิบดีของเวียดนามเหนือและพิพิธภัณฑ์นี้ยังอุทิศให้แก่การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อก้าวสู่อิสรภาพอีกด้วย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเรียนรู้บทบาทของโฮจิมินห์ในการนำอิสรภาพมาสู่เวียดนามและสร้างประวัติศาสตร์รัฐคอมมิวนิสต์ 

โครงสร้างของตัวพิพิธภัณฑ์มีความโดดเด่นเป็นสง่ามาก สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นอนุสาวรีย์และเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย ตั้งอยู่ข้างสุสานโฮจิมินห์ บริเวณ Ba Dinh Square และถือเป็นจุดกำเนิดของรัฐคอมมิวนิสต์ อาคารนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากโซเวียต ส่วนรูปปั้นของโฮจิมินห์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยว สร้างขึ้นเพื่อสดุดีแก่ผู้นำแห่งการปฏิวัติและให้อิสรภาพแก่เวียดนามจากการปกครองของฝรั่งเศส

เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว จะพบเอกสาร จดหมายและวัตถุโบราณที่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์รวมแล้วหลายพันชิ้น เรียนรู้ประวัติชีวิตที่น่าสนใจของ "ลุงโฮ" ผู้อุทิศตนเองในการพาเวียดนามสู่อิสรภาพจากการปกครองของฝรั่งเศส ภายในมีการจัดแสดงสิ่งต่างๆ เรียงตามลำดับเวลาเพื่อบอกเล่าความเป็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ของโฮจิมินห์ ประวัติการศึกษาเล่าเรียน คำร้องขอความช่วยเหลือในฝรั่งเศสและเส้นสายภายในของเขาที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมมิวนิสต์

บางคนกล่าวไว้ว่าพิพิธภัณฑ์นี้เป็นเครื่องมือหาเสียงของพวกคอมมิวนิสต์ ในขณะที่หลายคนรู้สึกว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความเป็นจริง ชวนให้ฉุกคิดไปถึงอดีต บ้างก็คิดว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำให้ผู้มาเยือนได้รับประสบการณ์ที่นำไปสู่การสร้างบันดาลใจที่ดี

พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ตั้งอยู่บริเวณ Ba Dinh Square ถัดจากสุสานโฮจิมินห์ซึ่งเป็นที่เก็บร่างของผู้นำคนสำคัญของเวียดนามที่เสียชีวิตไปแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังจตุรัสดังกล่าวได้สะดวกโดยรถประจำทางหรือแท็กซี่จากใจกลางฮานอย พิพิธภัณฑ์ปิดให้บริการในช่วงพักเที่ยง และปิดทุกบ่ายวันจันทร์และวันศุกร์ และต้องเสียค่าเข้าพิพิธภัณฑ์

9. วิหารวรรณกรรม (Van Mieu,Literature temple) แห่ง ฮานอย


วิหารวรรณกรรม หรือ ชื่อเวียดนามว่า  ‘วันเหมียว’ (Van Mieu,Literature temple) แห่ง ฮานอย เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเวียดนามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฮานอย ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบพันปี และถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม เช่นเดียวกับที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ ‘วัดโพธิ์’ ในบ้านเรา ได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่ง แรกของประเทศไทย ‘วันเหมียว’ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า ‘วิหารวรรณกรรม’ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1070 ซึ่งเป็นยุคของ ราชวงศ์ไล โดยพระเจ้าไล ไท ตอง โปรดฯให้สร้างขึ้น เพื่อเชิดชูคุณธรรม โดยอุทิศให้แก่ขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีน ผู้ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง 

ต่อมาในปี 1076 ได้มีการสร้างโรงเรียนสำหรับขุนนางขึ้นในบริเวณเดียวกันกับวัด เพื่อให้เหล่าขุนนางได้เข้าศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็นจอหงวน เมื่อถึงยุคสมัยของราชวงศ์ตรัน จึงได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าเรียน วิชาที่สอนนั้นเป็นวิชาปรัชญาของขงจื๊อ ประกอบไปด้วยเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน วิชาประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นต้น มหาวิทยาลัย แห่งแรกของเวียดนามนี้ ได้เปิดสอนจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ก็ได้ปิดตัวลง และถูกทิ้งให้รกร้าง เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้น ปัจจุบันวิหารวรรณกรรมแห่งนี้กลายเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ ทางการ ศึกษาของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮานอย 

แม้เวลาผ่านไปร่วมพันปี แต่วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ ยังได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้คงความเป็นตัวอย่างวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาว เวียดนามได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณวัดมีพื้นที่กว้างขวาง โดยมีกำแพงล้อมรอบถึง 5 แห่ง และก่อนจะเข้าสู่ประตูใหญ่ของวิหาร เหนือขึ้นไปของประตูมีข้อความที่ขอร้องให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะ เข้าไปในบริเวณวัดหลังจากผ่านเข้าประตูทางเข้าวัดแล้ว เป็นที่ตั้งของ ‘เคว วัน กั๊ก’ หรือตึกดาวลูกไก่ ซึ่งเป็นแหล่งที่เหล่านักอักษรศาสตร์ใช้ท่องบทกวี เมื่อผ่านประตูแห่งความ สำเร็จ หรือ ‘ได๋ แถงห์ โมน’ ก็จะพบกับลานโล่งล้อมรอบสระน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า สระแสงงาม หรือ ‘เทียน กวาง ติงห์’ ซึ่งลานบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของแผ่นจารึกชื่อของ จอหงวน ที่ผ่านการสอบหลักสูตร 3 ปี ซึ่งแต่ละแผ่นตั้งอยู่บนหินรูปเต่า ที่มีจำนวนถึง 82 แผ่น จากที่เคยมีอยู่เดิมถึง 117 แผ่น โดยเริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1442-1779 ด้านตรงข้ามกับวิหารมีอาคารแห่งการเฉลิมฉลอง หรือ ‘ไบ๋ เยือง’ ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ขงจื้อ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่กษัตริย์ได้ทรงมอบน้ำพระพิพัฒน์สัตยาให้กับอาจารย์ ผู้สอนในอดีต ซึ่งบริเวณนี้มีแผ่นไม้ที่สลักไว้ด้านบนแท่นบูชาว่า ‘อาจารย์ของนักเรียนกว่าพันรุ่น’ 

นอกจากนี้ ภายใน วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม รวบรวมผลงานด้านศิลปกรรม ทั้งงาน ปั้น งานแกะสลัก และรูปภาพ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากมีโอกาสไปเที่ยวฮานอย วิหารวรรณกรรม ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด

10. ช้อปปิ้งถนน 36 สาย" (Hanoi 36 old streets)


 ถนน 36 สายเก่า (36 streets old quarter) หรือที่เรียกว่า 36 เฝอเฟือง เป็นย่านหัตถกรรมที่มีประวัติยาวนานร่วม 600 กว่าปี ที่เรียกชื่อแบบนี้ เนื่องมาจาก 36 อาชีพอันเก่าแก่ที่ทำมาค้าขายกันในย่านนี้ ในอดีตถนนแต่ละสายก็จะขายของหัตถกรรมสอดคล้องตามชื่อเรียกถนน 

แต่ปัจจุบันสินค้าที่วางขายไม่ได้สอดคล้องกับชื่อถนนเท่าไร คืนวันศุกร์-อาทิตย์ที่ย่านนี้จะมี Night market ย่านนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คน ทั้งชาวเวียตนามและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอย ถนน36 สายเก่า แหล่งขายของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของกรุงฮานอย ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยถนนแต่ละสายจะขายของแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นขายรองเท้าถนนสายนั้นก็จะขายรองเท้าตลอดสาย ขายของที่ระลึกก็ขายของที่ระลึกตลอดสาย เป็นต้น แต่ปัจจุบันไม่ได้แยกประเภทกันชัดเจนเหมือนในอดีต  ถนนแต่ละสายจะขายสินค้าคละกันไป สามารถเดินซื้อกันได้อย่างจุใจมีสินค้าให้เลือกกันมากมาย เช่น รองเท้า เสื้อผ้า งานฝีมือที่ทำจากไม้ เครื่องเขิน เรือสำเภาไม้จำลอง ของที่ระลึกจากเวียดนาม 

สินค้าที่ระลึก ฮานอย ประเทศเวียดนาม


ขอบคุณภาพประกอบ เที่ยววังเวียง : www.pixabay.com, http://www.louangprabang.net 
https://travel.trueid.net, http://blog.amari.com

ไม่มีความคิดเห็น: